ในบทความ “บั้งไฟพญานาค 2557” ผมได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า ดร. พญาครุฑ (นามฝง) เข้าขั้นถึง "พลาด" อย่างหนักหนาสาหัสที่ไปกล่าวว่า “บั้งไฟพญานาคเป็นคนทำขึ้น และทำที่ฝั่งลาว”
มาถึงวันนี้
ดร. พญาครุฑ (นามแฝง) นั้น ไปไม่เป็นเสียแล้ว
ยกธงขาวแบบพยายามรักษาหน้าตัวเองเสียแล้ว
ประเด็นเรื่องบั้งไปพญานาคนี้ ดร. พญาครุฑ (นามแฝง) หาเรื่องใส่ตัวเอง คือ **ไม่เชื่อว่าเป็นการกระทำของพญานาค**
ความไม่เชื่อนั้น
จึงไปสร้างสมมุติฐานที่ "ผิดพลาดมากๆ" ขึ้น คือ “หาว่ามีคนทำขึ้น”
นี่แหละคือความผิดพลาดแบบวอดวาย เป็นความผิดพลาดที่ไม่สมกับการเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิชาการเลย
จากการที่ผมติดตามอ่านประเด็นเรื่องนี้มา
ชาวบ้านธรรมดาๆ หลายคน ยังตอบเรื่องนี้ได้ดีกว่า ดร. พญาครุฑ (นามแฝง)
คำตอบก็ออกมาในทำนองนี้
“บั้งไฟพญานาคนั้น ลอยขึ้นมาจากแม่น้ำโขงจริงๆ
พวกเขาก็ไม่เชื่อเรื่องพญานาค แต่มีปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ที่มีลูกไฟลอยขึ้นมาจากน้ำจริง”
|
จะเห็นว่า
บุคคลธรรมดาตอบปัญหาเรื่องนี้ได้ดีกว่า ดร. พญาครุฑ (นามแฝง) เสียอีก
แล้วคนที่เห็นว่า มีลูกไฟลอยขึ้นมาจากแม่น้ำปีหนึ่งๆ มีเป็นแสนคน นับหลายๆ ปีรวมกันก็มีเป็นล้านคน
มันเป็นหลักฐานที่ยอมรับไม่ได้เลยหรือไง คนมันจะเห็นผิดกันเป็นล้านคนเชียวหรือ....
การที่ ดร. พญาครุฑ (นามแฝง) ไปตั้งสมมุติฐานว่า “มีคนทำขึ้น”
และ “ยิงขึ้นที่ฝั่งลาว” เป็นการตั้งสมมุติฐานที่หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ
สมมุติฐานว่า “มีคนทำขึ้น” มันต้องตอบปัญหาอีกมากมาย เป็นปัญหาที่ ดร. พญาครุฑ (นามแฝง) ตอบไม่ได้ด้วย และไม่มีทางตอบปัญหาได้เลย เช่น ใครทำ
ทำไปทำไม เอาเงินที่ไหนมาทำ ฯลฯ
อย่างไรก็ดี
ในปีนี้ พวกที่เห็นบั้งไฟพญานาคทำได้ค่อนข้างดี
มีการจดบันทึกการเห็นอย่างเป็นระเบียบ
มีผู้สื่อข่าวไปทำข่าวกันมากมาย ดร. พญาครุฑ (นามแฝง) เห็นว่า หลักฐานสนับสนุนของฝ่ายตรงข้าม ดูหนักแน่นกว่าของตัวเอง
จึงหาทางลง
โดยการอ้างว่า กลัวถูกทำร้าย ออกมาขอโทษเสียแล้ว
ดูคำขอโทษเป็นข้อๆ ไปเลยก็แล้วกัน
หลังจากมีหลังไมค์มาเรียกร้องให้ผมขอขมา
พร้อมชี้แจงประเด็นบั้งไฟพญานาค ไม่งั้นก็ขอเตือนไว้ว่า
มีคนที่โมโหผมอยู่เป็นจำนวนมาก
และจะประสบชะตากรรมเหมือนไอทีวีในอดีต
|
นี่เป็นข้อความหาทางลงของ ดร. พญาครุฑ (นามแฝง)
ผมเขียนบล็อกด่าคน
ออกชื่อเสียงด้วย ถูกขู่แบบนี้ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ไม่มีใครบ้า มาทำร้ายร่างกายกัน
หรือทำอะไรกันด้วยเรื่องทำนองนี้
อย่างมากก็ขู่กันไปขู่กัน
ดร. พญาครุฑ (นามแฝง) ก็รู้ แต่แกรู้ว่า แกพลาดไปมาก ที่ไปหาว่า มีคนยิงขึ้นมาจากฝั่งลาว
แกเลยหาทางลงเท่านั้น
1.
ผมขออภัยที่ทำให้หลายท่านขุ่นข้องหมองใจ ... ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นความเข้าใจผิด
อันเนื่องจากการที่ปีนี้
ผมไม่ได้ชี้แจงซ้ำบนเฟซบุ้คถึงแนวทางในการที่ผมและเพื่อนๆ
ถ่ายรูปบั้งไฟ และทำคลิปอธิบายทฤษฎีกระสุนส่องวิธี
2.
ผมและเพื่อนสนใจหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับลูกไฟประหลาดที่เรียกว่าบั้งไฟนี้
ว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่จะเกิดจากแก๊สธรรมชาติตามที่หลายคนเข้าใจกัน
โดยไม่ได้สนใจในสาเหตุอื่นที่เหนือธรรมชาติ
เช่น พญานาคทำหรือไม่ หรือพญานาคมีจริงหรือไม่
หรือเกี่ยวข้องกับศาสนาและความเชื่อพื้นถิ่นอย่างไร
|
ผมอ่านแล้ว เป็นคำแก้ตัว ที่ยังคง.... ไม่สมเหตุสมผลกับความเสียหายที่ได้เกิดขึ้น
ประการแรกเลย เรื่องการพิสูจน์นี้
คือ การถ่ายรูปมาพิสูจน์กันแบบนี้
วิทยาศาสตร์จริงๆ เขาจะไม่ยอมรับกันหรือไม่ ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่
ประการต่อมา คนเขาชื่อว่า "พญานาคทำขึ้น" ในเมื่อพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้ ก็สันนิษฐานว่าเป็นแก๊ส หรืออะไรก็ว่าไป
ยอมรับอย่างซื่อๆ ว่า
พิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ หรือถ้าจะทำกันจริงๆ ก็ต้องใช้เงินมาก
ยังไม่ใครลงทุนให้ทำ
การตอบอย่างนั้น ยังดีกว่า ไปบอกว่า “มีคนทำขึ้น”
และ “ยิงขึ้นที่ฝั่งลาว”
3.
การอธิบายถึงสาเหตุทางวิทยาศาสตร์นึ้
จำเป็นต้องเริ่มจากการตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า ลูกไฟผุดขึ้นจากน้ำจริง
อย่างที่หลายต่อหลายคนอ้างว่าเห็น แต่กลับไม่มีภาพถ่ายหลักฐานเลย ...
ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดในการตอบคำถามนี้
คือการถ่ายรูปแบบเปิดหน้ากล้องนานๆ จนเห็นว่า ลูกไฟนั้นพุ่งมาจากกลางลำน้ำ
หรือจากฝั่งกันแน่
|
นี่เป็นจุดอ่อน
และแสดงให้เห็นถึงความผิดพลาด ในเรื่องนี้ของ ดร. พญาครุฑ (นามแฝง) คือ พยายามใช้ภาพถ่ายเป็นหลักฐาน
เพราะการพิสูจน์ด้วยภาพถ่ายในกรณีนี้ ไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งเรื่องภาพถ่ายสุดๆ
คือ นักดาราศาสตร์ เนื่องจาก “สิ่งที่ศึกษานั้น
มันอยู่ไกลและบางทีก็มองไม่เห็น”
เขาจึงต้องใช้ภาพถ่ายเป็นเครื่องมือ
นี่มันบั้งไฟพญานาคขึ้นที่แม่น้ำโขง จะไปถ่ายรูปเป็นหลักฐานไปทำไม คนไปดูเป็นแสนๆ มันใช้เป็นหลักฐานไม่ได้เลยหรือไง
นอกจากนั้น ในการศึกษาทางดาราศาสตร์ ยุคที่ยังไม่มีกล้องโทรทรรศน์
กล้องวิทยุต่างๆ นานานั้น เขาก็ใช้การสังเกตจากตาของมนุษย์นี่แหละ
ดร. พญาครุฑ (นามแฝง) ผิดพลาดอย่างมาก
ที่ไม่ยอมรับการสังเกตจากคนเป็นแสน
แต่ใช้กล้องถ่ายภาพ ซึ่งยังไม่ได้รับการยอมรับเหมือนกัน
4.
ด้วยวิธีนี้ เราได้ลองถ่ายรูปในหลายอำเภอ ตำบล หมู่บ้านที่มีการดูบั้งไฟกัน
รวมทั้งจากฝั่งลาวด้วย .... ซึ่ง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้
เรายังไม่เคยถ่ายภาพลูกไฟขึ้นจากน้ำได้
แต่ได้ภาพแสงไฟขึ้นจากฝั่ง
หรือจากเรือไฟ แทน รวมทั้งคลิปวิดีโอด้วย ซึ่งมีลักษณะตรงกับภาพที่จะได้จากกระสุนส่องวิถี
tracer round ทั้งหมด
|
ข้อความนี้
ก็ไม่ควรเขียนออกมาเลย เสียภาพลักษณ์หมด
ปีนี้บั้งไฟพญานาคขึ้นมาเกือบๆ 500 ลูก มีการจดบันทึกอย่างเป็นวิชาการ มีผู้สื่อข่าวไปทำข่าวกันมากมาย
คณะของ ดร. พญาครุฑ (นามแฝง) ถ่ายภาพไว้ไม่ได้เลย
ไปถ่ายรูปกันจริงหรือเปล่า หรือว่า ไม่ได้พยายามถ่ายบั้งไฟพญานาค
พยายามถ่ายแต่พลุ หรือปืนส่องวิถีอย่างเดียว
5.
กระนั้น เราไม่เคยพูดว่า
ลูกไฟบั้งไฟทุกลูกที่ไปดูกันในวันออกพรรษานั้นเป็นกระสุน เพียงแต่รูปถ่ายทุกรูปที่ถ่ายได้นั้น
น่าจะเป็นกระสุนแน่ๆ แต่ใครยิง เราไม่ทราบ
|
ก็พวกคุณ จ้องถ่ายแต่กระสุน จ้องถ่ายแต่พลุ ถึงไม่เห็นบั้งไฟพญานาคไง
สารภาพแบบไปไม่เป็นเสียอย่างนั้น...
ในการไปดูบั้งไฟพญานาคนั้น มีคนไปจุดพลุด้วย
ยิงโน่นยิ่งนี่ด้วยแน่ๆ ไปจ้องถ่ายภาพซะอย่างนั้น บั้งไฟพญานาคขึ้นเป็นร้อยๆ ลูก กลับไม่เห็น
6.
ข้อมูลภาพและคลิปที่เราเผยแพร่ในแต่ละปีนี้ น่าจะช่วยให้คนที่สนใจ
และไม่เชื่อพวกเรา ได้ออกมาลองถ่ายภาพพิสูจน์ด้วยตนเองในปีต่อๆไป ... เผื่อว่าจะได้มีภาพบั้งไฟขึ้นจากกลางลำน้ำ
มาใช้ศึกษาทางวิทยาศาสตร์ต่อไป ว่าเกิดจากอะไรกันแน่
7.
การที่หลายคนที่ผมถกเถียงด้วยหลังไมค์ ได้ยอมรับในภาพถ่ายกระสุนขึ้นจากฝั่ง
ว่าบั้งไฟของปลอมนั้นมีจริงและมีเยอะด้วย ขณะที่บั้งไฟของจริงนั้นหายากมากแล้ว
....
จึงน่าจะเป็นโอกาสร่วมกัน
ที่จะรณรงค์ในปีหน้าๆ
ต่อไปให้คนแยกแยะออกในการดูบั้งไฟของจริงของปลอมเทียบกันด้วยวิธีการถ่ายรูป
จะได้ช่วยกันนับว่าจริงๆแล้วบั้งไฟของจริงนั้นมีมากน้อยแค่ไหนกันแน่
8.
ขอสรุปอีกครั้งว่า ผมขอขมาลาโทษด้วยที่ทำให้โมโหกัน ซึ่งผมมีเจตนาเพียงงานทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น
และไม่เคยพูดว่า บั้งไฟทุกลูกเป็นกระสุนครับ
ด้วยความเคารพในสิทธิที่แต่ละท่านจะเลือกเชื่อเรื่องใดๆ
|
ขนาดหน้าแตก
ออกมาขอโทษแล้ว ดร. พญาครุฑ (นามแฝง) ก็ยังยึดประเด็นของ “ถ่ายภาพ”
อีก ผมในฐานะนักปรัชญา
นักวิทยาศาสตร์ ผมขอยืนยันว่า “ประเด็นบั้งไฟพญานาค”
นี้ ใช้การสังเกตการณ์ด้วย “ตา” ของเราได้
อย่างที่พวกที่เชื่อปรากฏการณ์ทำมาในปีนี้นี่แหละ
การศึกษาทางดาราศาสตร์ในยุคก่อนที่จะมีกล้องทันสมัยต่างๆ นั้น
นักดาราศาสตร์เขาก็ใช้ “ตา” นี่แหละ ได้ความรู้ที่แม่นยำมากมาย
กฎของนิวตันที่ว่าแน่ๆ ก็ยังพังมาแล้ว
กล่าวคือ กฎของนิวตันนั้น คำนวณวงโคจรของดาวพุธผิดไป 17 วัน
จากการสังเกตการณ์ด้วยตาของนักดาราศาสตร์
ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์คำนวณได้พอดีเป๊ะ กฎของนิวตันของกลายเป็นความจริงที่แคบๆ
การที่ ดร. พญาครุฑ (นามฝง) ไม่เชื่อแล้วไปบอกว่า “มีคนยิงขึ้นจากฝั่งลาว”
นั้น เป็นความผิดพลาดอย่างมาก เท่าที่ผมได้ยินมา
เพราะมันได้สร้างปัญหาขึ้นอีกมาก อย่างที่ ดร. พญาครุฑ (นามแฝง) กำลังได้รับอยู่นี่แหละ