บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

พญานาคมัดเณร








วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2554  ผมไปสอนวิชาธรรมกายที่วัดจันทร์ตะวันออก อ. เมือง จ. พิษณุโลก ในโครงการ “ธรรมะสัญจรเพื่อประชาชน” ของมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก

เจ้าของโครงการคือ รศ.ดร. ศิริพงษ์ เปรมจิตร กับ รศ.ดร. ดวงพร  เปรมจิตร ทั้งคู่เป็นวิทยากรของมูลนิธิศึกษาการุณย์ด้วย

วัดจันทร์ตะวันออกมีสำนักเรียนของเณร การปฏิบัติธรรมครั้งนี้ก็เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ผมไปสอนที่วัดแห่งนี้มาเป็นปีที่ 3 แล้ว

ในการสอนครั้งนี้ ผมได้นำเพชรพญานาคติดไปด้วย เพื่อที่จะให้เณรได้ทำวิชาดูกายของท่าน โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ ต้องการให้เณรรู้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบนี้มีจริง

การที่เณรเห็นเอง รู้เอง และสามารถพูดคุยกับจักรพรรดิในเพชรพญานาคได้ จะทำให้เณรมีความเชื่อและศรัทธาในศาสนาพุทธต่อไป

ไม่ใช่ว่า เรียนๆ  ไปเชื่อวิทยาศาสตร์ และหันมาสงสัยพระไตรปิฎก อย่างที่พวกพุทธเชิงคัมภีร์ หรือพวกปริยัติทำกัน

ในการสอนนั้น ต้องสอนให้เด็กผ่านวิชา 4 กายธรรมเสียก่อน  แล้วก็ลืมตามาดูเรือนของเพชรพญานาค ตามภาพที่ 2 ด้านบน

เมื่อเณรจำเรือนได้แล้ว ก็นึกเอาเรือนไปตามฐานของใจ ฐานที่ 1-2-3 และ 7  ต่อไปก็นึกอธิษฐานให้เรือนเพชรพญานาคว่างออกไป ก็จะเห็นกายจักรพรรดิในเรือน

เณรหรือเด็กบางคนจะเห็นเป็นพญานาคเลย  บางคนก็จะเห็นเป็นจักรพรรดิมีพญานาคพันแขนบ้าง พญานาคอยู่ข้างๆ บ้าง

ในระหว่างการสอนนั้น ผมเห็นเณร “หงายท้อง” ลงไป  ขอให้ดูวิดิโอด้านบน

แล้วก็มีเพื่อนเณรด้วยกัน กดเท้าของเณรไว้ ผมเข้าไปดูอาการ เพราะ รู้สึกตกใจเหมือนกัน เนื่องจากสอนมาหลายปี หลายแสนคน ไม่เคยเจออาการแบบนี้มาก่อน

เณรรูปนั้น นอนแข็งทื่อ เนื้อตัวเกร็งไปหมด เหมือนท่าแพลงกิ้ง (planking) ที่ฮิตระเบิดเทิดเถิงไปเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา

เมื่อผมมายืนดู  เห็นเณรหายใจแบบอึดอัดขัดข้อง ก็ยังไม่รู้จะทำยังไง ดร. ศิริพงษ์  เปรมจิตรเห็นเหตุการณ์ก็มาดู พร้อมๆ กับอาจารย์ของเณร

ผมถามว่า จะต้องไปส่งโรงพยาบาลทุกคนบอกไม่ต้อง

แล้วเณรบางคนไปกระซิบเรียกข้างหู ผมจึงสบายใจว่า เณรรูปนี้ คงมีอาการอย่างนี้มาก่อน จึงไปสอนต่อ

เณรรูปนี้ นอนนิ่งไปหลายนาที  เมื่อท่านลุกขึ้นได้  ผมจึงไปถามท่าน  ท่านตอบว่า “พญานาคมัดผม”

ผมก็ตอบไปว่า “เป็นไปไม่ได้ เพชรพญานาคนี้ เป็นจักรพรรดิของผม จะไปมัดท่านได้อย่างไร

แต่ผมเห็นรอยสักที่แขนเณร จึงรู้เณรรูปนี้ น่าจะ “เล่นของ” ทางไสยศาสตร์ด้วย

สักพักหนึ่ง เณรรูปดังกล่าวก็ไปตั้งหน้าตั้งตาวาดรูปมาให้ดู ขอย้ำว่ารูปนี้ เณรที่ถูกพญานาคมัด เป็นผู้วาดเอง  ขอให้ดูภาพที่ 3 ด้านบน

การสอนช่วงนี้ เป็นช่วงเช้า ระหว่างการพักเพื่อฉันอาหารเพล เณรรูปนี้ ได้เล่าให้วิทยากรท่านอื่นๆ ฟัง ดังนี้

เณรเล่าว่า เมื่อท่านวิชาตามที่ผมบอกไปเรื่อย และเห็นพญานาคแล้ว

พญานาคพูดว่า “เณรรูปนี้ เล่นของ ขอลองหน่อยซิว่าจะแก้ได้หรือไม่”  แล้วก็มัดเณร จนเณรหงายท้องลงไป ตามวิดิโอ

เณรยังเล่าอีกว่า เกล็ดของพญานาคสวยมาก สวยจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไร

พญานาคยังบอกอีกว่า “เรือนของเพชรพญานาคของผมนี้ เป็นของปลอม ถ้าอยากจะได้ของจริง เดี๋ยวท่านจะไปหามาให้

เรือนของเพชรพญานาคดังกล่าวนั้น ผมไปหา “เช่า” มาจากจังหวัดหนองคาย 

จะเห็นว่าเรือนของเพชรพญานาคที่ขายตามท้องตลาดไหน ปลอมทั้งนั้น  สำหรับผมนั้น เนื่องจากเป็นวิทยากร พญานาคท่านอยากจะมาร่วมสร้างบารมีด้วย

พอผมซื้อเรือนของเพชรพญานาค ท่านก็ทิ้งเรือนจริงของท่าน มาอยู่กับเรือนที่ผมซื้อ...

การเป็นวิทยากรสอนปฏิบัติธรรมก็มีดีอีกอย่างตรงนี้ 



1 ความคิดเห็น:

  1. ผมกำลังสนใจการปฎิบัติสมาธิ กำลังหาความรู้ด้านนี้ ผมไม่ได้ฝึกวิชาธรรมกายหรอกนะคับ แต่ผมฝึกสมาธิแบบที่เข้าใจ คือ ทำจิตให้สงบ นิ่ง หยุดใจที่ซัดส่ายได้ ใจเราจะรวมและเข้าไปเป็นกายอีกกายหนึ่งที่อยู่อีกโลกนึงเหมือนฝันแต่บังคับได้ เป็นสถานที่คนละที่กันบนโลก พอเข้าไปเป็นกายนั้น ความอยากรู้อยากเห็นอยากจะสำรวจโลกว่ามันแตกต่างกันยังไง พอคิดแบบนี้ จะฝันต่อแบบเลอะเทอะๆ ไปเรื่อย
    ครั้งไหนใจแข็งว่าจะนั่งสมาธิต่อ จะบังคับกายนั่งสมาธิและทำใจให้สงบต่อๆไป จะเข้าไปเป็นกายใหม่ๆ ซ้อนขึ้นมาแทนที่ บางครั้งใจไม่ยิ่งก้อจะถอยเข้าถอยออกอยูาบ้าง
    ....บางครั้ง มีข้อสังเกต โลกที่กายเราเข้าไปเป็นนั้น ไม่มีเราอยู่คนเดียว พอเข้าไปเป็นกาบบางกาย"มีคนอื่นหรืออาจจะหลายคนก้อมี กำลังทำร้ายเราอยู่ด้วยอาการต่างๆ ทำให้ใจตอนนั้น มีอารมณ์โกรธ โมโห
    หรือบางครั้งนั่งสมาธิ ทำสมาธิเข้าไปเจอกายที่กำลังนั่ง นอนง่วงซึม โงหัวแบบไม่ขึ้นเลย จะทำกายนั้นให้ฟื้นเพื่อมานั่งสมาธิต่อ รู้สึกว่าแรงใจไม่พอต้องถอยออกมา ใจนะตอนนั้น คิดว่าไม่รู้จะแก้ไขยังไง ได้แต่แข็งใจสู้เพื่อให้กายนั้นลุกนั่งให้ได้จะได้ทำสมาธิต่อ ฯลฯ
    ผมมาตั้งข้อสังเกตว่า... เราอยู่เฉยๆ จิตใจคนเรามีทุกข์ เพราะกายข้างใน (ใจซ้อนใจ) มีสิ่งกระทำให้ทุกข์ มีอารมณ์ เศร้า กลัว วิตก ฯลฯ รวมถึงทำให้ให้เจ็บป่วยเป็นโรค.. ที่ครูบาอาจารย์โบราณท่านแก้โรคแก้กรรมให้คนอื่นท่านคงไปจัดการกายที่ทำชั่วๆให้กายคนนั้นอยู่แบบลับๆ ออกไปจึงได้หายป่วยหายเจ็บ
    ไปเล่าให้ใครๆ ฟังก้อว่าบ้าคับ บ้าก้อบ้า...

    ขอบคุน อ.มนัสที่มีเพจแบบนี้ให้ผมได้ศึกษาแลกเปลี่ยนประสบการณ์คับ โลกภายในใจคนเรามันกว้างใหญ่ไศาลจริงๆ

    ตอบลบ